เมนู

ใกล้ เพราะเมื่อภิกษุทั้งหลายนั่งในที่นั้น เป็นผู้อยู่ใกล้. ชื่อว่าเป็นผู้ใกล้ชิด
ทุกเมื่อ เพราะเป็นผู้อยู่ในสำนักของพระศาสดา. อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเหล่านั้น
ชื่อว่าเป็นผู้ใกล้ชิดทุกเมื่อ เพราะเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอน อันเป็นที่ตั้งแห่ง
พระธรรมเทศนา และเพราะเป็นผู้มีความวิเศษ. เทศนานี้ หมายถึงภิกษุ
บางพวก เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสเรียกภิกษุเหล่านั้น.

ว่าด้วยการละ 5 อย่าง


ชื่อว่าปหานะ ในบทนี้ว่า ปชหถ นี้ มี 5 อย่าง คือ ตทังคปหาน 1
วิกขัมภนปหาน 1 สมุจเฉทปหาน 1 ปฏิปัสสัทธิปหาน 1 นิสสรณ-
ปหาน 1
ในปหานะ 5 อย่างนั้น การละความโลภเป็นต้น ด้วยความไม่โลภ
เป็นต้น การละสิ่งไม่มีประโยชน์นั้นๆ ด้วยวิปัสสนาญาณ มีการกำหนดนามรูป
เป็นต้น เพราะเป็นปฎิปักษ์กัน เหมือนการกำจัดความมืดด้วยแสงประทีป
ฉะนั้น เช่นการละมลทินมีโลภเป็นต้นด้วยการบริจาค การละทุศีลมีปาณาติบาต
เป็นต้นด้วยศีล การละความไม่มีศรัทธาเป็นต้น ด้วยศรัทธา การละสักกายทิฏฐิ
ด้วยกำหนดนามรูป การละทิฏฐิอันเป็นอเหตุกะและวิสมเหตุ ด้วยการกำหนด
ปัจจัย การละความสงสัยด้วยการข้ามพ้นความสงสัยส่วนอื่นๆ นั้นเสียได้ การ
ละความถือมั่นว่าเราของเรา ด้วยพิจารณาเห็นเป็นกลาปะ (กอง) การละความ
เห็นในสิ่งที่ไม่เป็นมรรคว่าเป็นมรรค ด้วยกำหนดมรรคและอมรรค การละ
อุจเฉททิฏฐิ ด้วยการเห็นความเกิด การละสัสสตทิฏฐิด้วยเห็นความเสื่อม การละ
ความสำคัญในสิ่งที่เป็นภัยว่าไม่เป็นภัย ด้วยการเห็นภัย การละความสำคัญใน
สิ่งที่ชอบใจ ด้วยการเห็นโทษ การละความสำคัญ ในสิ่งที่น่าอภิรมย์ ด้วยการ
พิจารณาถึงความเบื่อหน่าย การละความที่ไม่อยากหลุดพ้น ด้วยญาณ คือ ความ
อยากพ้น การละความไม่วางเฉย ด้วยอุเบกขาญาณ การละธรรมฐิติ ด้วย
อนุโลม การละความเป็นปฏิโลม ด้วยนิพพาน การละความเป็นสังขารนิมิต
ด้วยโคตรภู การละนี้ชื่อว่า ตทังคปหาน (การละชั่วคราว).

การละธรรมมีนิวรณ์เป็นต้น เหล่านั้น ๆ ด้วยอุปจาระและอัปปนาสมาธิ
เหมือนการกำจัด สาหร่ายที่หลังน้ำ ด้วยการทุ่มหม้อน้ำลงไป เพราะห้ามความ
เป็นไป การละนี้ชื่อว่า วิกขัมภนปหาน (การละด้วยการข่มไว้).
การตัดขาดกองกิเลส อันเป็นฝ่ายที่จะให้ตัณหาเกิด ซึ่งท่านกล่าวไว้
โดยนัยเป็นต้นว่า จตุนฺนํ อริยมคฺคานํ ภาวิตฺตา ตํตํมคฺควโต อตฺตโน
สนฺตาเน ทิฏฺฐิคตานํ ปหานาย
เพื่อละทิฏฐิในสันดานของตนผู้มีมรรค
นั้น ๆ เพราะเจริญอริยมรรค 4 ได้แล้ว การละนี้ชื่อว่า สมุจเฉทปหาน
(ละได้เด็ดขาด).
การละกิเลสทั้งหลาย อันเป็นความสงบในขณะแห่งผล การละนี้ชื่อว่า
ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยความสงบกิเลส). การดับที่ละเครื่องปรุงแต่ง
ทั้งหมดได้แล้ว เพราะสลัดเครื่องปรุงแต่งทั้งหมดได้ นี้ ชื่อว่า นิสสรณปหาน
(การละด้วยการสลัดออก). ในสูตรนี้พึงทราบว่า ได้แก่ สมฺจเฉทปหาน
เพราะท่านประสงค์เอาการละที่ทำให้เป็นพระอนาคามี ด้วยการละ 5 อย่าง ด้วย
ประการฉะนี้. เพราะฉะนั้น บทว่า ปชหถ จึงมีความว่า เธอทั้งหลายจงสละ
จงตัดขาดดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอ้างถึงพระองค์ ด้วยคำว่า อหํ. บทว่า โว
มีวินิจฉัยดังนี้ โวศัพท์นี้ ปรากฏในปฐมาวิภัตติ ทุติยาวิภัตติ ตติยาวิภัตติ
ฉัฏฐีวิภัตติ ปทปูรณะ และจตุตถีวิภัตติ. โว ศัพท์มาในปฐมาวิภัตติ ในบท
เป็นต้นว่า กจฺจิ ปน โว อนุรุทฺธา สมคฺคา สมฺโมทมานา ดูก่อนอนุรุทธะ
และพวกเธอยังพร้อมเพรียง บันเทิงกันดีอยู่หรือ. มาในทุติยาวิภัตติ ในบท
เป็นต้นว่า คจฺฉถ ภิกฺขเว ปณาเมมิ โว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ
จงไป เราประณามพวกเธอ. มาในตติยาวิภัตติ ในบทเป็นต้นว่า น โว มม
สนฺติเก วตฺถพฺพํ
อันพวกเธอไม่ควรอยู่ในสำนักของเรา. มาในฉัฏฐีวิภัตติ

ในบทเป็นต้นว่า สพฺเพสํ โว สารูปุตฺต สุภาสิตํ คำสุภาษิตของพวกเธอ
ทั้งหมด. มาในปทปูรณะ ในบทเป็นต้นว่า เย หิ โว อริยา ปริสุทฺธ-
กายกมฺมนฺตา
พระอริยะเหล่าใดแลเป็นผู้มีการงานทางกายบริสุทธิ์. มาใน
จตุตถีวิภัตติ ในบทเป็นต้นว่า ปรมตฺถปริยายํ โว ภิกฺขเว เทเสสฺสามิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงปรมัตถปริยายแก่พวกเธอ. ในที่นี้พึงทราบว่า
โว ศัพท์มาในจตุตถีวิภัตติ.
บทว่า ปาฏิโภโค ได้แก่ ผู้รับรอง. จริงอยู่ ผู้นั้นอาศัยผู้รับรอง
ยืมทรัพย์ของผู้มีทรัพย์ ฝากไว้แก่ผู้รับรอง เมื่อถึงคราวจะใช้ก็นำทรัพย์จาก
ผู้รับรองนั้นมาใช้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ปฏิโภโค (ผู้รับรอง). ผู้รับรอง
นั่นแล ชื่อว่า ปาฏิโภโค. บทว่า อนาคามิตาย ได้แก่ เพื่อความเป็น
พระอนาคามี. ชื่อว่าอนาคามี เพราะไม่มาสู่กามภพ ด้วยการถือปฏิสนธิ.
มรรคที่ 3 พร้อมด้วยผล ชื่อว่าอนาคามี ท่านเรียกว่า อนาคามี เพราะบรรลุ
ธรรมนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงฉลาดในการฝึกเวไนยสัตว์ ทรงแสดงธรรม
อันยิ่งใหญ่ คือ ตติยมรรค อันอนุกูลแก่อัธยาศัยของเวไนสัตว์ ทรงกระทำให้
หนักแน่น ด้วยความบริบูรณ์ในธรรมอันหนึ่ง โดยอุบายฉับพลัน จึงสมเป็น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยประการฉะนี้. จริงอยู่ กิเลสทั้งหลายอันตติยมรรค
พึงทำลาย มีปฏิฆสังโยชน์เป็นต้น แม้เป็นไปในภูมิอื่นก็ไม่พ้นการละกามฉันทะ
ไปได้.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ในสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงตั้ง
พระองค์ไว้ในความเป็นผู้รับรองเล่า. ตอบว่า เพื่อให้ภิกษุเหล่านั้นเกิดความ
อุตสาหะในการบรรลุอนาคามิมรรค. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นว่า
เมื่อเรากล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายละธรรมอย่างหนึ่งได้ เรา

เป็นผู้รับรองเธอทั้งหลาย เพื่อความเป็นพระอนาคามี ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย
เหล่านี้ จะสามารถละธรรมอย่างหนึ่งนั้น แล้วบรรลุตติยภูมิได้แน่นอน ทั้ง
จะเกิดความอุตสาหะว่า พระธรรมสามีตรัสเป็นครั้งแรกว่า เราเป็นผู้รับรอง
ดังนี้ เพราะอย่างนั้น จักสำคัญถึงข้อที่ควรปฏิบัติ ดังนี้ ฉะนั้น. เพื่อให้
ภิกษุทั้งหลายเกิดความอุตสาหะ จึงทรงตั้งพระองค์ไว้ในความเป็นผู้รับรอง
ภิกษุเหล่านั้น เพื่อความเป็นพระอนาคามี.

ว่าด้วยปุจฉา 5


บทว่า กตมํ ในบทว่า กตมํ เกธมฺมํ นี้ เป็นคำถาม. ก็ธรรมดา
คำถามมีอยู่ 5 อย่าง คือ อทิฏฐโชตนาปุจฉา 1 ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา 1
วิมติเฉทนาปุจฉา 1 อนุมติปุจฉา 1 กเถตุกัมยตาปุจฉา 1.

ในคำถามเหล่านั้น ตามปกติคนเรายังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่พิจารณา
ไม่ไตร่ตรอง. ไม่เข้าใจ ไม่แจ้ง ไม่ชัดถึงลักษณะ จึงถามปัญหา เพื่อรู้
เพื่อเห็น เพื่อพิจารณา เพื่อไตร่ตรอง เพื่อเข้าใจ เพื่อแจ้งชัดถึงลักษณะนั้น
นี้ชื่ออทิฎฐโชตนาปุจฉา (ถามเพื่อความสว่างในสิ่งที่ตนไม่เห็น). ตามปกติ
คนรู้แล้ว เห็นแล้ว พิจารณาแล้ว ไตร่ตรองแล้ว เข้าใจแล้ว แจ้งชัดแล้ว
ซึ่งลักษณะ เขาถามปัญหาเพื่อเทียบเคียงกับบัณฑิตเหล่าอื่น นี้ชื่อ ทิฏฐ-
สังสันทนาปุจฉา
(ถามเพื่อเทียบเคียงกับสิ่งที่เห็นแล้ว. ตามปกติคนเป็นผู้ตก
อยู่ในความสงสัย ในความไม่รู้ ในความเคลือบแคลงว่า อย่างนี้หรือหนอ
ไม่ใช่หรือหนอ เป็นอะไรหนอ เป็นอย่างไรหนอ ดังนี้ เขาจึงถามปัญหา
เพื่อขจัดความสงสัย นี้ชื่อ วิมติเฉทนาปุจฺฉา (ถามเพื่อขจัดความสงสัย).
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามปัญหา เพื่อคล้อยตามความเห็น
ด้วยพระดำรัสมีอาทิว่า ตํ กึ มญฺญถ ภิกฺขเว รูปํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง